8 วิธีเลือกซื้อกาต้มน้ำ

8 วิธีเลือกซื้อกาต้มน้ำ

  1. วัสดุที่ใช้ผลิต ปัจจุบันมีการนำวัสดุต่างๆมาใช้ผลิตตัวตา แตกต่างทั้งด้านการใช้งาน ราคา และความทนทาน วัสดุที่นิยมนำมาใช้ได้แก่

1.1 พลาสติก จะมีน้ำหนักตัวกาที่เบา ตัวกาไม่ร้อนสามารถใช้งานได้สะดวก และมีราคาที่ถูกส่วนใหญ่ แต่บางรุ่นถ้ามีฟังก์ชันเยอะๆก็จะมีราคาเพิ่มขึ้นมากวัสดุพลาสติกบางชนิดที่นำมาทำอาจจะทำให้มีกลิ่นต่างๆ           ได้ เมื่อถูกใช้งานไประยะหนึ่ง

1.2 สเตนเลส มีความทนทานมากกว่าวัสดุแบบพลาสติก สเตนเลสจะสามารถกักเก็บอุณหภูมิความร้อนได้ดี แต่ข้อเสียอาจจะมีน้ำหนักพอสมควร ราคา ค่อนข้างสูง และถ้าไม่ระวังในการใช้มืออาจจะไป                          โดนตัวกาทำให้มือพองได้

1.3 แก้ว เป็นการเลือกใช้วัสดุเน้นด้านออกแบบให้มีความสวยงาม เพราะสามารถมองเห็นน้ำภายใน หรือสิ่งสกปรกได้  แถมแก้วเป็นวัสดุที่ไม่ดูดกลิ่นด้วยทำให้ไม่ค่อยมีกลิ่นต่างๆ แต่ควรระวังในการใช้สูง เพราะ              มีน้ำหนักมาก และถ้าเกิดทำตกหล่นอาจจะแตกได้ กาประเภทนี้จะมีราคาสูงมาก

  1. ขนาดความจุน้ำ เป็นข้อสำคัญในการเลือกซื้อ ควรเลือกซื้อกาที่มีความจุตามการใช้งาน โดยกาต้มน้ำจะมีขนาดความจุตั้งแต่ 500 มิลลิลิตรขึ้นไป
  2. ระยะเวลาในการต้มน้ำ กาต้มน้ำส่วนใหญ่จะมีความรวดเร็วในการต้มเพื่ออำนวยความสะดวกสบาย แต่ควรเลือกโดยคิดถึงการใช้ไฟฟ้าด้วย เพราะยิ่งมีเวลาต้มเร็วเท่าไหร่ กาต้มน้ำจะใช้ไฟมากขึ้นเท่านั้น ควรเลือกกาที่เหมาะสมต่อการใช้งาน และรองรับต่อระบบไฟ
  3. ระบบความปลอดภัย บางรุ่นจะมีระบบป้องกันการรั่วของไอน้ำ ป้องกันน้ำรั่วในกรณีตัวกาล้มคว่ำ ป้องกันการต้มน้ำแต่ภายในไม่มีน้ำ ความทนทานต่อความร้อนในตัวกา และสายไฟ ทุกๆฟังก์ชันมีความปลอดภัยแต่ก็จะมีราคาที่สูงตามขึ้นมา
  4. ฝาของกาต้มน้ำ ควรเลือกจากความสะดวกสบายในการเปิด-ปิด เพราะจะต้องมีการเติมน้ำ หรือเทน้ำออกบ่อยครั้ง ควรจะเลือกแบบที่ใช้งานได้ง่าย
  5. ความยาวของสายไฟ ก่อนเลือกซื้อควรคำนวณตำแหน่งการวางกาต้มน้ำ กับปลั๊กเสียบเพื่อเลือกซื้อรุ่นที่มีสายไฟเหมาะสม
  6. ฟังก์ชันการเก็บอุณหภูมิ เก็บฟังก์ชันที่เก็บความร้อนหลังต้มน้ำเสร็จให้น้ำร้อนมีระยะเวลายาวนานขึ้น เป็นฟังก์ชันเสริมเข้ามาจะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
  7. บริการหลังการขาย ควรมีการรับประกันสินค้า

 

ข้อควรระวังในการใช้กาต้มน้ำร้อน

– ควรมองดูระดับน้ำในการเติมเข้าไป อย่าสูงให้เกินระดับขีด หรือลูกศรที่มีภายในตัวกา

– อย่าเสียบปลั๊กทิ้งไว้ตลอด เมื่อใช้งานเสร็จแล้วควรดึงออกทันที

– ไม่ควรวางกาต้มน้ำร้อนไว้ใกล้กับความร้อนต่างๆเช่น ไมโครเวฟ เตาแก๊ส

– อย่าให้ฐานที่เป็นตัวทำความร้อนของกามีน้ำ หรือโดนน้ำเด็ดขาด

– ไม่ควรใส่น้ำแข็งไปในกาต้มน้ำ

– ขณะกำลังต้มน้ำไม่ควรวางผ้า หรือกระดาษต่างๆ อาจจะเกิดความร้อนจนไหม้ได้

– การทำความสะอาดกาต้มน้ำควรใช้น้ำยาล้างจาน และฟองน้ำเท่านั้น ห้ามใช้แอลกอฮอล์ ทินเนอร์เพราะจะทำให้สีของกาน้ำลอก

– อย่านำสิ่งมีคมไปขูด หรือทำความสะอาดกาเพราะจะทำให้เป็นรอย และเสื่อมสภาพไว

– อย่าเทชา นม หรือแอลกอฮอล์ลงไปต้มในกาเพราะจะทำให้อุดตันที่ท่อก๊อก หรือเป็นสนิมได้

– อย่าปล่อยให้น้ำในกาแห้ง ตอนกาน้ำทำงาน

– ตรวจสอบสายไฟ ขั้วปลั๊ก และปลั๊ก เสมอเมื่อพบว่ามีการชำรุดให้เปลี่ยนทันที

– ใช้น้ำสะอาดในการต้ม เพื่อลดการอุดตัน หรือคราบสนิมต่างๆ

 

ข้อเปรียบเทียบระหว่างกาต้มน้ำร้อน กับกระติกน้ำร้อน

กาต้มน้ำร้อน จะทำการต้มน้ำเมื่อเราต้องการใช้เท่านั้น และเมื่อทำการต้มน้ำร้อนเสร็จก็จะหยุดการทำความร้อนทันที ซึ่งการเก็บอุณหภูมิจะจะขึ้นอยู่กับวัสดุและฟังก์ชันของแต่ละรุ่น ต่างจากกระติกน้ำร้อนที่ทำความร้อนให้น้ำอยู่ตลอดเวลาที่เสียบปลั๊ก กาต้มน้ำร้อนถูกพัฒนามาจากการต้มน้ำกับเตาต่างๆพัฒนาให้มีการต้มน้ำที่สะดวกขึ้น รวดเร็วขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ สามารถทำความร้อนให้น้ำได้ในระยะเวลา 3 นาทีโดยประมาณ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับรุ่นของกาต้มน้ำ ขนาดความจุ อัตราการกินไฟ กาน้ำร้อนจะมีขนาดที่เล็กกว่ากระติกน้ำร้อน และมีราคาที่ถูกกว่า เหมาะสำหรับการใช้งานที่ไม่ได้ต้องการน้ำร้อนตลอดทั้งวัน

กระติกน้ำร้อน จะมีขนาดจุน้ำมากกว่าแบบกาน้ำร้อน เพราะมีขนาดเครื่องที่ให้กว่า กระติกน้ำร้อนจะใช้เวลาการทำความร้อนให้น้ำนานกว่ากาต้มน้ำร้อน มีระยะเวลาเฉลี่ย 20-35 นาทีโดยประมาณ แต่กระติกน้ำร้อนจะทำความร้อนให้น้ำอยู่ตลอดเวลาที่เสียบปลั๊ก สามารถเลือกอุณหภูมิของน้ำได้ แต่ถ้าปิดเครื่องเมื่อไม่ได้ใช้ แล้วมาเปิดใหม่ต้องใช้เวลาการทำงานใหม่นานพอสมควร เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการน้ำร้อนตลอดทั้งวัน ปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนกาต้มน้ำร้อน เพราะเหมาะสำหรับตามบริษัท ร้านขายกาแฟ หรือร้านค้าต่างๆมากกว่า ส่วนตามบ้านเรือนส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้ว และกระติกน้ำร้อนจะมีราคาที่สูงกว่ากาต้มน้ำร้อน